หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

QHชชชาต สทธพนธ


QH วางเป้าผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มแทนเน้นยอดขาย,เล็งหาทำเลกทม.ขึ้นอาคารสนง.-โรงแรมเพิ่มรายได้ประจำ

     นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นในระยะยาวให้เพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 34-36% จากปีก่อนอยู่ที่ 30% แทนการเน้นเพิ่มยอดขายเหมือนช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทจะเดินหน้าลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมไปถึงการปรับเพิ่มราคาขายบางโครงการเพื่อให้มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูงขึ้น เพื่อให้อัตรากำไรขั้นต้นกลับมาอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 34-35% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิให้มีแนวโน้มสูงขึ้นตามไปด้วย

     ในปีที่ผ่านมาบริษัทเริ่มควบคุมและลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงจาก 18% เป็น 16% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30% และยังคงเดินหน้าแผนควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างจริงจังในปีนี้เพื่อผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% คาดว่าจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 1/61 ที่อัตรากำไรขั้นต้นจะสูงขึ้นมากกว่า 30%

     สำหรับ ปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ คือ การทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม คิว สุขุมวิท มูลค่า 1.02 หมื่นล้านบาทที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มทยอยโอนมาบางส่วนตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/61 จากที่มียอดขายแล้วราว 26% ขณะที่ด้านภาระหนี้สินของบริษัทได้ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหลังจากคืนเงินกู้สถาบันการเงินไปบางส่วน ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 0.95 เท่า จากเดิม 1 เท่า โดยบริษัทจะคงไว้ให้ไม่เกิน 1 เท่า

     "ตั้งแต่ปีก่อนเราก็เริ่มหันมาเน้นการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราไปเน้นยอดขาย แต่พอขายเยอะมาดูในส่วนกำไรกลับว่าไม่ได้มีกำไรเพิ่มขึ้น และแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของเราก็ลดลง ในบางช่วงต่ำกว่า 30% ตอนนี้ก็หันมาดูการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้ลดลง เช่น การสั่งของมาจำนวนเยอะๆ ช่วยให้ต้นทุนต่ำลง รวมถึงปรับเพิ่มราคาขายบางโครงการก็มีบ้าง ลดหนี้ให้ลง และใช้แหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนดอกเบี้ยไม่สูง อย่างเช่น หุ้นกู้ และระยะยาวเป้าหมายก็อยากเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้เป็น 34-36%" นายชัชชาติ กล่าว

     สำหรับ ภาพรวมผลประกอบการในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย โดยคาดว่าจะมีรายได้ 1.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) แล้ว 4.2 พันล้านบาทที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด ขณะที่บริษัทยังมีโครงการที่เหลือขายทั้งหมดอีกกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท จาก 79 โครงการ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ซึ่งจะทยอยขายและรับรู้เป็นรายได้เข้ามาอีก

     นอกจากนั้น บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน และการรับจ้างบริหารโรงแรมเข้ามาเสริม โดยในไตรมาส 4/61 จะเปิดให้บริการโรงแรม Centre Point พัทยา มูลค่าโครงการราว 1 พันล้านบาท เป็นโรงแรม 3 ดาว ซึ่งจะเข้ามาเสริมในพอร์ตโรงแรมของบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมที่ยังไม่ได้ขายเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพียง 1 โรงแรม คือ โรงแรม Centre Point สีลม และอาคารสำนักงานให้เช่าอีก 3 โครงการ คือ Q.House คอนแวนต์, Q.House อโศก และ Q.House สาทร

     นายชัชชาติ กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีสัดส่วนรายได้จากโรงแรมและอาคารสำนักงานให้เช่าไม่มากนัก แต่บริษัทก็ยังคงมองหาโอกาสที่จะพัฒนาโรงแรมและอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการมองหาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่จะนำมาพัฒนาโครงการใหม่ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า และหลังจากเริ่มเปิดให้บริการไปสักระยะหนึ่งแล้วบริษัทก็จะขายสินทรัพย์ดังกล่าวเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เพื่อนำเงินมาต่อยอดการลงทุนอื่นๆ

    ด้านยอดขายปีนี้คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 1.55 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 10% จากปีก่อนที่มียอดขาย 1.4 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายส่วนใหญ่ 90% มาจากโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ที่บริษัทมองว่าการขยายโครงข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคตจะเข้ามาใกล้ทำเลของโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น และความต้องการโครงการแนวราบยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นกล่มผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงน้อยในแง่ของการรับรู้รายได้

     ขณะที่แนวโน้มโครงการคอนโดมิเนียมมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในบางทำเล ทำให้บริษัทยังคงเน้นพัฒนาโครงการแนวราบในกลุ่มระดับกลางเป็นหลัก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล

     ในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด โดยในไตรมาส 1/61 เปิดขายไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวม 1.71 พันล้านบาท ได้แก่ CASA Ville และ CASA City ใน Q Distric ดอนเมือง-สรงประภา รวมทั้ง CASA Ville ประชาอุทิศ 90 และในไตรมาส 2/61 จะเปิดขายโครงการแนวราบอีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 4.86 พันล้านบาท

     นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ นอกเหนือจากแผนเปิด 15 โครงการในปีนี้ โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังหรือต้นปี 62 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ย่านลาดพร้าว มูลค่า 400-500 ล้านบาท อยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และ คอนโดมิเนียมกลุ่มลักชัวรี่ ย่านเจริญนครติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่ามากกว่า 1 พันล้านบาท อยู่ระหว่างการออกแบบ

    ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการขายโครงการแนวราบอื่นๆและโครงการคอนโดมิเนียมที่เหลือขายที่จะเข้ามาสนับสนุนยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย

    บริษัทยังตั้งงบลงทุนสำหรับซื้อที่ดินในปีนี้ที่ 5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นส่วนใหญ่ และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ชุดใหม่ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมอีก 5 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกและอายุของหุ้นกู้ หลังจากที่บริษัทออกหุ้นกู้ไปล่าสุดเมื่อต้นเดือน มี.ค.61 มูลค่า 3 พันล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.16%

     นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 5% จากปีก่อนที่ทรงตัว โดยมีปัจจัยหนุนมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 60 ที่ขยายตัวได้เกือบ 4% จากการขับเคลื่อนของการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทำให้ความมั่นใจของประชาชนกลับมาดีขึ้นบางส่วน แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ที่ยังไปไม่ถึงคนระดับกลาง-ล่าง จึงเป็นแรงกดดันภาพรวมกำลังซื้อ รวมถึงการที่หนี้สินครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง

     ดังนั้น ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่จึงหันมาพัฒนาโครงการในระดับบนที่จับกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง และเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวเศรษฐกิจในช่วงเริ่มฟื้นตัว และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ปัจจุบันยังมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่ออยู่บ้าง แม้ว่าจะมีการแข่งขันกันในด้านอัตราดอกเบี้ยที่เป็นสิ่งจูงใจให้คนเริ่มซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น

      ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายต่างๆ ส่งผลให้มีราคาที่ดินในบางทำเลปรับตัวขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการราว 1% อีกทั้งปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีความรุนแรงมากขึ้นและมีผู้เล่นรายใหม่ ๆ เข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องมีการปรับตัวในด้านกลยุทธ์การขายและรูปแบบโครงการที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด เพื่อทำให้แข่งขันกับผู้เล่นอื่นๆในตลาดได้

                อินโฟเควสท์

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!