หมวดหมู่: แรงงาน

1aaaaCON


คอร์น เฟอร์รี่ เผยผลการศึกษาบริษัทในเอเชียแปซิฟิก มีแนวโน้มจ่ายค่าจ้างสูงในระยะยาว เหตุปัญหาขาดแคลนแรงงานผู้มีทักษะ

     - ภายในปี 2030 การขาดแรงงานที่จำเป็นอาจทำให้บริษัทในเอเชียแปซิฟิกใช้เงินนับพันล้านดอลลาร์

     - ภายในปี 2030 ค่าเฉลี่ยของค่าจ้างพิเศษสำหรับแรงงานผู้มีทักษะในเอเชียแปซิฟิก อาจสูงกว่า 14,500 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 470,000 บาท) ต่อคนต่อปี   --

     - คาดว่าประเทศไทย ตัวเลขจะสูงถึง 34 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1,122,000 ล้านบาท) --

      ข้อมูลจากรายงานการศึกษาของ คอร์น เฟอร์รี่ (รหัสในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก: KFY) ระบุว่า อัตราเงินเดือนของแรงงานผู้มีทักษะสูงอาจพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานทั่วเอเชียแปซิฟิก โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเดือนในภูมิภาคอาจมีมูลค่ารวมสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีภายในปี 2030 ซึ่งทำให้การสร้างผลกำไรของบริษัทต่าง ๆ ตกอยู่ในความเสี่ยง และส่งผลเสียต่อโมเดลธุรกิจ สำหรับประเทศไทย ภาวะขาดแคลนแรงงานจะทำให้ต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้นถึง 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (704,000 ล้านบาท) ในปี 2020 เพิ่มเป็น 27 พันล้านดอลลาร์(864,000 ล้านบาท) ในปี 2025 และสูงถึง 34 พันล้านดอลลาร์ (1,122,000 ล้านบาท)ในปี 2030

      “ยุคใหม่ของการทำงานจะเกิดภาวะการมีพนักงานจำนวนมากแต่ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งหมายถึง แม้ว่าจะมีพนักงานจำนวนมากมาย แต่กลับไม่มีทักษะที่จำเป็นที่ทำให้องค์กรอยู่รอด” Dhritiman Chakrabarti, Korn Ferry Head of Rewards and Benefits for the APAC region กล่าว “ในขณะที่การขึ้นอัตราค่าจ้างโดยรวมจะสอดคล้องกับอัตราค่าเงินเฟ้อ แต่เงินเดือนของพนักงานซึ่งเป็นที่ต้องการจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นมาก หากบริษัทเลือกแข่งขันเพียงแค่เงินเดือนเพื่อให้ได้พนักงานที่ดีและยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ”

     การศึกษาเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราเงินเดือน (Salary Surge) ของคอร์น เฟอร์รี่ ได้ประเมินผลกระทบของภาวะขาดแคลนแรงงานผู้มีทักษะทั่วโลก (ดังรายละเอียดในการศึกษาเรื่อง Global Talent Crunch ของคอร์น เฟอร์รี่ เมื่อเร็ว ๆ นี้) ที่มีผลต่ออัตราค่าจ้างใน 20 เขตเศรษฐกิจหลักทั่วโลกใน 3 จุดเวลา คือปี ค.ศ. 2020, 2025 และ 2030 โดยครอบคลุม 3 ภาคธุรกิจ ได้แก่ บริการทางการเงินและธุรกิจ, เทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม (TMT) และอุตสาหกรรมการผลิต โดยทำการวัดผลว่าองค์กรต่าง ๆ จะต้องจ่ายค่าจ้างแก่พนักงานเกินกว่าการเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าเงินเฟ้อมากเท่าใด

     จากผลการศึกษา พบว่าอุปสงค์แรงงานระดับปริญญาตรีและสูงกว่าในประเทศไทยในปี 2020, 2025 และ 2030 คือ 5,737,900 คน, 5,857,280 คนและ 6,016,130 คน ตามลำดับ ในขณะที่อุปทานแรงงานในระดับปริญญาตรีของปี 2020 คือ 5,164,160 คน ปี 2025 คือ 5,137,790 คน และปี 2030 คือ 5,054,850 คน หรือคิดเป็นภาวะขาดแคลนแรงงานที่ 10%, 12% และ 16% ในแต่ละปีตามลำดับ

รายงานของคอร์น เฟอร์รี่ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบครั้งใหญ่ในเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินเดือนในประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาค ดังนี้

§ บริษัทในญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าจะต้องจ่ายค่าจ้างสูงสุด โดยต้องจ่ายเพิ่มขึ้นราว 468 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030

§ บริษัทในไทยอาจต้องจ่ายค่าแรงกว่า 34 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1,113,000 ล้านบาท) ในปี 2030

§ ในขณะเดียวกัน ตลาดขนาดเล็กที่มีจำนวนแรงงานจำกัดอาจจะต้องพบแรงกดดันมากที่สุด โดยในปี 2030 สิงคโปร์และฮ่องกง คาดการณ์ว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษจากเงินเดือนคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2017*

§ และในปี 2030 จีนต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มมากกว่า 342 พันล้านดอลลาร์

§ อินเดียเป็นประเทศเดียวที่สามารถหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราค่าจ้าง ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในการศึกษาครั้งนี้ โดยอินเดียจะมีแรงงานผู้มีทักษะสูงล้นตลาดในทุกจุดเวลา

§ ในปี 2030 เงินเพิ่มพิเศษจากเงินเดือนโดยเฉลี่ย (จำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายมากกว่าอัตราเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อตามปกติ) ทั่วภูมิภาคต่อแรงงานผู้มีทักษะ 1 คนจะอยู่ที่ 14,710 ดอลลาร์ต่อปี แต่ฮ่องกงอาจพบอัตราที่สูงกว่าถึง 40,539 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่สิงคโปร์จะอยู่ที่ 29,065 ดอลลาร์ต่อปี และออสเตรเลีย 28,625 ดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2030

§ เมื่อพิจารณาในภาคธุรกิจ พบว่าภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญของเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่อาจเกิดการหยุดชะงัด จากผลกระทบของการเพิ่มค่าแรงที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในจีน ภาวะการขาดแคลนแรงงานผู้มีทักษะสูงคาดว่าจะมากกว่า 1 ล้านคนในปี 2030 ซึ่งหมายความว่า เงินเพิ่มพิเศษอาจต้องสูงถึง 51 พันล้านดอลลาร์ในช่วงนั้น ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในการศึกษาครั้งนี้

       ดร. มานะ โลหเตปานนท์ กรรมการผู้จัดการ คอร์น เฟอร์รี่ ประเทศไทยและเวียดนาม เปิดเผยว่า “สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย การจ่ายค่าจ้างพิเศษเพิ่มโดยเฉลี่ยอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาค โดยเฉพาะในปี 2030 การจ่ายค่าจ้างพิเศษโดยเฉลี่ยจะสูงถึง 1,122,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับ 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไทยในปี 2017 ในส่วนของภาคธุรกิจ องค์กรจะมีต้นทุนด้านบุคคลากรสูงขึ้นจากการจ่ายค่าจ้างพิเศษกว่า 15% เมื่อเทียบกับการขึ้นเงินเดือนปกติ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลกำไรของการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นถ้าองค์กรใดสามารถระบุและพัฒนาทักษะความสามารถของพนักงานให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจในอนาคตได้ ก็จะส่งผลในด้านบวกกับประสิทธิภาพทางการเงินขององค์กรเช่นกัน””

      การขาดแคลนแรงงานผู้มีทักษะทั่วโลกอาจทำให้นายจ้างต้องเพิ่มค่าจ้างพิเศษในแต่ละปีกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งการพุ่งสูงขึ้นของเงินเดือนนี้สงผลกระทบอย่างมหาศาลต่อประเทศต่าง ๆ อาทิ

§ บริษัทในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะต้องจ่ายมากที่สุดในโลก โดยต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษมากกว่า 531 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030

§ เยอรมนีเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในแถบยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษราว 176 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030

§ สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสอาจมีสภาวะที่ดีกว่าในระยะสั้น โดยในปี 2030 เงินเพิ่มพิเศษของสหราชอาณาจักรอาจเท่ากับ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2017* และฝรั่งเศสเท่ากับ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2017*

§ เงินเพิ่มพิเศษเฉลี่ยต่อแรงงาน 1 คนใน 20 เขตเศรษฐกิจอยู่ที่ 11,164 ดอลลาร์ต่อปี

“การซื้อตัวผู้มีทักษะจากตลาดอื่นนับเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แทนที่จะทำเช่นนั้น บริษัทในเอเชียแปซิฟิกจะต้องสร้างความผูกพันของพนักงานและทบทวนทักษะของพนักงานในปัจจุบันเสียใหม่” Dhritiman Chakrabarti กล่าว “ผู้นำองค์กรต้องพิจารณาว่าจะรักษาแรงงานผู้มีทักษะสูงในปัจจุบันไว้ได้อย่างไร เราต่างทราบว่า ลูกจ้างที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาสายอาชีพ และได้รับแรงผลักดันจากภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และความรู้สึกว่างานของตนเองมีความหมาย มีแนวโน้มที่จะทำงานในองค์กรนั้น ๆ ต่อไป และที่สำคัญ จะมีความผูกพันต่อองค์กรและมีผลิตภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย”

     “ในโลกของการทำงานในอนาคต ลูกจ้างที่ประสบความสำเร็จอาจไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสถาบันการศึกษา แต่จะเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวและพร้อมที่จะเรียนรู้ และมีความยืดหยุ่นมากพอในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างรวดเร็วและมีโครงสร้างลำดับชั้นงานน้อยลง บริษัทจำเป็นต้องระบุตัวผู้ที่มีทักษะจำเป็นในอนาคตได้ และช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่” Dhritiman Chakrabarti กล่าวสริม

*ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ นำมาจากการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศในปี 2017

       เกี่ยวกับ การศึกษาเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราเงินเดือน (Salary Surge)

       หลังการศึกษาเรื่องภาวะการขาดแคลนผู้มีทักษะทั่วโลก (Global Talent Crunch Study) เป็นการสร้างแบบจำลองช่องว่างระหว่างจำนวนอุปทานแรงงานในอนาคตและอุปสงค์จากการประเมินการขาดแคลนแรงงานผู้มีทักษะซึ่งจะเกิดขึ้นในไม่ช้า การศึกษาเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราเงินเดือน (Salary Surge) จึงถูกจัดทำขึ้นเพื่อประเมินผลกระทบต่อเนื่องของภาวะขาดดุลนี้ ที่จะส่งผลต่ออัตราค่าจ้างใน 20 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก

     การศึกษาได้ประเมินการเพิ่มค่าแรงจากการคำนวนข้อมูลการจ่ายค่าแรงทั่วโลกของ คอร์น เฟอร์รี่ ในภาวะขาดดุลแรงงานผู้มีทักษะจากงานศึกษาเรื่องภาวะการขาดแคลนผู้มีทักษะทั่วโลก (Global Talent Crunch Study) เพื่อประเมินถึงผลกระทบใน 3 จุดเวลา คือปี ค.ศ. 2020, 2025 และ 2030 โดยเน้นที่ 3 ภาคธุรกิจที่ต้องใช้องค์ความรู้เฉพาะด้านและเป็นภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งได้แก่ บริการทางการเงินและธุรกิจ, เทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม (TMT) และอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ ยังตรวจสอบภาคธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากทั้ง 3 ภาคธุรกิจหลักนี้ การรายงานผลยังให้ความสำคัญที่แรงงานผู้มีทักษะสูงซึ่งพบว่าเกิดภาวะขาดดุลมากที่สุด โดยแบบจำลองใช้ข้อมูลวุฒิการศึกษาซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปแทนรูปแบบทักษะต่างๆ

      20 เขตเศรษฐกิจหลักในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ทวีปอเมริกา (บราซิล เม็กซิโก สหรัฐฯ) แถบยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร) และเอเชียแปซิฟิก (ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย)

      สามารถดูกระบวนการทั้งหมดของการศึกษาเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราเงินเดือน (Salary Surge) ได้ที่ www.kornferry.com

เกี่ยวกับคอร์น เฟอร์รี่

       คอร์น เฟอร์รี่ เป็นบริษัทผู้ให้คำปรึกษาแก่องค์กรชั้นนำระดับโลก เราให้ความช่วยเหลือบรรดาบริษัทต่าง ๆ ในการออกแบบองค์กร ทั้งในแง่โครงสร้าง บทบาท และขอบเขตความรับผิดชอบ ตลอดจนรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน การพัฒนา และการสร้างแรงจูงใจในการทำงานแก่บุคลากร เรายังให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรในการคัดสรรและจ้างงานบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์บริษัท คอร์น เฟอร์รี่ ดำเนินงานด้วยทีมงานกว่า 7,000 คนเพื่อให้บริการลูกค้าในมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!