หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

TRIS7 2


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน'บ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์'ที่'A+' แนวโน้ม'Stable'

 

      ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A+’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนสำหรับผู้มีรายได้สูงของไทย ตลอดจนชื่อเสียงซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในกลุ่มผู้ป่วยในประเทศและต่างประเทศ และฐานะการเงินที่แข็งแรงของบริษัทจากอัตราการทำกำไรที่อยู่ในระดับสูงและภาระหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ

      อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดระหว่างประเทศ รวมถึงข้อจำกัดของบริษัทจากการมีโรงพยาบาลหลักเพียงแห่งเดียว และการชะลอตัวของอัตราการเติบโตของปริมาณผู้ป่วยของบริษัทโดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศในตะวันออกกลาง

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทย

      บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย โดยบริษัทดำเนินงานโรงพยาบาล 1 แห่งภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ในกรุงเทพฯ ซึ่งเน้นให้บริการผู้ป่วยภายในประเทศและผู้ป่วยชาวต่างชาติ รายได้ของบริษัทจัดอยู่ในอันดับที่สองของผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยและในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงชะลอตัว แต่รายได้และอัตราการทำกำไรของบริษัทยังคงเติบโตในอัตราที่น่าพอใจ โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีของรายได้จากการให้บริการผู้ป่วยที่ระดับ 6.38% และกำไรสุทธิที่ระดับ 11.84% ในระหว่างปี 2556-2560

       ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทน่าจะสามารถทรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในช่วงระยะปานกลางถึงระยะยาว ความสามารถในการสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งและมั่นคงเกิดจากการมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและผลงานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับของบริษัท นอกจากการมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงแล้ว บริษัทยังมีการลงทุนด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมีศักยภาพในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูงและสามารถคิดค่าบริการในราคาที่สูงได้ ในขณะที่ความรุนแรงของโรคก็เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตของรายได้ของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

 

มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ลูกค้าชาวต่างชาติ

        บริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ป่วยทั้งที่เป็นชาวไทยและต่างชาติ โดยรายได้ประมาณ 65% ของรายได้รวมของบริษัทมาจากผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศในแถบตะวันออกกลาง ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาผู้ป่วยจากภูมิภาคดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 20%-22% ของรายได้รวม ทั้งนี้ สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดผู้ป่วยต่างชาติเกิดจากการที่บริษัทมีชื่อเสียงในด้านบริการทางการแพทย์และมีราคาค่าบริการที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลในประเทศที่พัฒนาแล้ว

       ทริสเรทติ้ง มองว่า สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นนั้นช่วยกระจายแหล่งรายได้ของบริษัท อีกทั้งยังลดการพึ่งพาความต้องการภายในประเทศ และลดความกดดันจากการแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลคู่แข่งภายในประเทศด้วยกันเอง นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยต่างชาติยังช่วยทำให้เกิดการประหยัดต่อจากขนาดด้วยเนื่องจากต้นทุนดำเนินการของโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยต่างชาตินั้นค่อนข้างสูง แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยต่างชาติจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะลดลง แต่จำนวนผู้ป่วยต่างชาติจากประเทศอื่น ๆ เช่น เมียนมา โอมาน และบังกลาเทศที่เพิ่มขึ้นก็ช่วยชดเชยจำนวนผู้ป่วยจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้บางส่วน ดังนั้น จำนวนผู้ป่วยต่างชาติของบริษัทจึงยังคงทรงตัวในปี 2560 จนถึงช่วง 7 เดือนแรกของปี 2561

 

ความเสี่ยงจากการมีโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียว

     สถานะเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากการมีความเสี่ยงเรื่องสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลหลักที่มีเพียงแห่งเดียว บริษัทสร้างรายได้เกือบทั้งหมดจากโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ ที่บริษัทมีอยู่เพียงแห่งเดียวซึ่งต่างจากผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายอื่นที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต ในขณะที่สัดส่วนรายได้จากการลงทุนในโรงพยาบาล Ulaanbaatar Songdo ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนในประเทศมองโกเลียนั้นยังคงมีเพียงเล็กน้อยและไม่สามารถที่จะเติบโตได้มากนักในระยะปานกลาง นอกจากนี้ บริษัทยังได้ชะลอแผนการก่อสร้างโรงพยาบาลขนาด 200 เตียงบนที่ดินที่ถนนเพชรบุรีมาแล้วหลายครั้งเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติเติบโตน้อยกว่าคาด ประกอบกับการที่บริษัทขยายความสามารถในการให้บริการที่โรงพยาบาลที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวได้ บริษัทมีอัตราเฉลี่ยของการใช้บริการของผู้ป่วยนอกที่ระดับ 52% ของความสามารถในการให้บริการต่อวัน ในขณะที่อัตราการครองเตียงของผู้ป่วยในอยู่ที่ระดับ 63% ทั้งนี้ คาดว่าโรงพยาบาลของบริษัทจะยังคงสามารถรองรับปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

      บริษัทตัดสินใจชะลอโครงการบนถนนเพชรบุรีออกไปเป็นปี 2563 หรือจนกว่าจะมีความต้องการเตียงเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้น ความกังวลเรื่องการมีโรงพยาบาลหลักเพียงแห่งเดียวจึงยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม บริษัทวางแผนที่จะขยายพื้นที่หลักของโรงพยาบาลในปัจจุบันไปยังถนนสุขุมวิท ซอย 1 เพื่อบรรเทาความแออัดของพื้นที่โรงพยาบาลหลัก สำหรับโครงการบนถนนสุขุมวิท ซอย 1 นั้นบริษัทจะพัฒนาเป็นอาคาร 3 หลัง โดยอาคารแรกจะเป็นที่จอดรถ อาคารที่ 2 จะเป็นศูนย์อบรมบุคลากร และอาคารที่ 3 จะเป็นคลินิกผู้ป่วยนอก คาดว่าบริษัทจะเริ่มโครงการบนถนนสุขุมวิท ซอย 1 ได้ในปี 2562 โดยบริษัทวางแผนค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งสิ้นที่ประมาณ 18,300 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2564 ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะเป็นงบประมาณสำหรับการขยายโรงพยาบาลใหม่ขนาด 200 เตียงบนถนนเพชรบุรีจำนวน 8,200 ล้านบาท รวมถึงการลงทุนบนถนนสุขุมวิท ซอย 1 จำนวน 2,200 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกปีละ 1,200-1,600 ล้านบาทฯลฯ

 

ยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรง

     โรงพยาบาลเอกชนในประเทศจำนวนมากมีการแข่งขันกันอย่างหลากหลายโดยมีการให้บริการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าเฉพาะทาง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง หรือโรคกระดูก เป็นต้น โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำหลายแห่งยังคงเน้นการให้บริการผู้ป่วยต่างชาติและมีการร่วมทุนกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้มากขึ้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรายงานว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจำนวนผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉลี่ยที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคนต่อปี โรงพยาบาลในประเทศที่เน้นให้บริการนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพต้องแข่งขันกับโรงพยาบาต่างประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในทวีปเอเชีย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และอินเดียเป็นต้น เนื่องจากประเทศเหล่านี้ต่างก็มุ่งมั่นที่จะเป็น “ศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย” หรือ “Medical Hub of Asia” ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ยังไม่น่าจะเปลี่ยนไปเร็วนักเพราะต้นทุนการบริการทางการแพทย์หลายอย่างในประเทศไทยยังคงต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ เป็นต้น

 

สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง

       ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (อัตรากำไรจากการดำเนินงาน) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 33.1% ในปี 2560 ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 31.4% ในปี 2559 อัตรากำไรจากการดำเนินงานยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 35.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จาก 34.6% ในช่วงเดียวกันของปี 2560 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 6,186 ล้านบาทในปี 2560 จาก 5,786 ล้านบาทในปี 2559 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้จากทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติค่อนข้างต่ำ

       อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 3.6% เป็น 3,198 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 การให้ความสำคัญกับการให้บริการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพช่วยทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่ดีได้ ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ เนื่องจากบริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนก้อนใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจึงมี        สถานะทางการเงินเป็นเงินสดสุทธิ (Net Cash Position) โดย ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นทั้งหมดจำนวน 8,679 ล้านบาท ในขณะที่หนี้สินเฉพาะที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทมีแค่เพียง 3,676 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะมีแผนค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในช่วงปี 2561-2564 แต่ก็คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 30%

 

มีสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอ

     สภาพคล่องของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง ภาระหนี้ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 3,676 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 3,500 ล้านบาท และเงินกู้ระยะยาว 176 ล้านบาท บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2561 เพียง 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระหนี้จากหุ้นกู้ ส่วนหุ้นกู้ที่เหลือจะครบกำหนดในปี 2564 ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดอยู่ที่ 8,679 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2561-2564 และคาดว่าบริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลปีละประมาณ 1,400-2,000 ล้านบาท

 

แนวโน้มอันดับเครดิต

      แนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่'สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนสำหรับคนไข้รายได้สูงเอาไว้ได้และจะยังคงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไป โดยปริมาณเงินสดคงเหลือที่ค่อนข้างสูงและกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินในช่วงที่มีการลงทุนและขยายธุรกิจในอนาคต

      ทริสเรทติ้ง คาดหมายว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตเล็กน้อยที่ระดับ 1% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรงโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 30% ต่อปีในระหว่างปี 2561-2564 ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4,200-4,500 ล้านบาทซึ่งเพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจ

 

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

      อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจในขณะที่ยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมากจากระดับปัจจุบันซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน

บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH)

อันดับเครดิตองค์กร:             A+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

BH18DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561     A+

BH21DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564     A+

แนวโน้มอันดับเครดิต:           Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com

ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

       บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

        ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!