หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้
25
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับตัวลงตามตปท. รับผลกระทบจาก Sentiment ตลาดสหรัฐฯที่ร่วงแรง
 
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า โดยเฉพาะตลาดในแถบเอเชียเหนือ ทั้งนี้รับผลกระทบจาก Sentiment ตลาดสหรัฐฯที่ร่วงแรง อันเป็นผลจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวลงแรงหลังจากที่ Valuation อยู่ในโซนที่แพงมาก อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) ก็สูงขึ้น ซึ่งคงจะสะท้อนเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ที่จะปรับตัวขึ้น
 
 
ส่วนตลาดบ้านเราอยู่ในช่วงของการรอดูการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/61 ขณะที่ประเด็นต่างประเทศไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ Valuation ของตลาดบ้านเราไม่ได้มี Discount มาก แต่เชื่อว่าตลาดบ้านเราคงจะไม่ปรับตัวลงเร็วมากเหมือนตลาดอื่นในเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนคงให้น้ำหนักปัจจัยในประเทศมากกว่า จากที่ภาพเศรษฐกิจไทยค่อนข้างดี หนี้ของภาครัฐ และหนี้ของภาคเอกชนก็ไม่ได้สูงมาก ทำให้ตลาดบ้านเราน่าจะแข็งแกร่งกว่า
 
พร้อมให้แนวรับ 1,700 จุด ส่วนแนวต้าน 1,721 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,598.74 จุด ดิ่งลง 831.83 จุด (-3.15%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,785.68 จุด ลดลง 94.66 จุด (-3.29%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,422.05 จุด ร่วงลง 315.97 จุด (-4.08%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 462.67 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 82.77 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 800.17 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 194.79 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 52.45 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 56.71 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 35.42 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 66.38 จุด
 
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ต.ค.61) 1,721.82 จุด เพิ่มขึ้น 24.90 จุด (+1.47%) มูลค่า
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 1,847.25 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ต.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 ต.ค.61) ปิดที่ 73.17 ดอลลาร์/บาร์เรล  ร่วงลง 1.79 ดอลลาร์ หรือ 2.4%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ต.ค.61) ที่ 5.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.02 อ่อนค่าตามภูมิภาค กังวลตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ มองกรอบวันนี้ 32.90-33.05
- ไอเอ็มเอฟเตือนความเสี่ยง ต่อระบบการเงินโลกเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนหลัง เนื่องจากตลาดเกิดใหม่บางประเทศกำลังมีปัญหา และความตึงเครียดจากสงครามการค้ายังดำรงอยู่ ต่อเนื่อง "คริสติน ลาการ์ด"แนะผู้นำโลกจำเป็น ต้องแก้ไขระบบการค้าโลกแทนที่จะพยายามทำลาย
 
- ครม.อนุมัติร่าง พ.ร.บ.กำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน ตั้งคณะกรรมการสำนักงานดูแลปล่อยสินเชื่อลีสซิ่ง  จำนำทะเบียนรถ คาร์ฟอร์แคช แฟคตอริ่ง กำหนดผู้ประกอบการ จดทะเบียนใน 120 วันหลังกฎหมายบังคับใช้ วางโทษทางปกครอง ปรับ-อาญา ธปท.แนะรวม ธุรกิจโฮมฟอร์แคชไว้ในร่าง กม.ด้วยเพื่อให้ดูแล การปล่อยกู้ได้ทั้งระบบ
 
- ผู้ประกอบการอสังหาฯ ถก"แบงก์ชาติ"วันนี้ เสนอลดเงินดาวน์ จาก 20% เหลือ 11-15% หวั่นช็อกตลาด อสังหาฯ ป้องคนทิ้งเงินดาวน์  ด้านสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ชี้เกณฑ์อยู่ในระดับ เหมาะสมไม่หย่อนเกินไป เชื่ออนาคตอาจเข้มขึ้นได้ขณะ"กสิกรไทย"ยันไร้ปัญหาเหตุระวังปล่อยกู้บ้านหลังสองอยู่แล้ว
 
- สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอแผนตั้งกองทุนใหม่แทน "แอลทีเอฟ" ที่จะหมดอายุในปลายปีหน้า เน้นให้สิทธิประโยชน์กลุ่มคนรายได้ปานกลางถึงน้อย หวังส่งเสริมการออมระยะยาว พร้อมกาง 8 แผนงานปีหน้า ยกระดับตลาดหุ้นไทย
 
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ 3 ปัจจัยดอกเบี้ยเฟด น้ำมัน ค่าเงินในภูมิภาค แรงกดดันบาทอ่อน ช่วงปลายปีนี้อยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์
- ครม.เห็นชอบยกเว้นเก็บค่าอากรแสตมป์สำหรับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดเพื่อใช้อยู่อาศัย สำหรับโครงการประชารัฐสวัสดิการของกรมบังคับคดี หวังช่วยบรรเทาภาระผู้มีรายได้น้อย เพิ่มช่องทางมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- BDMS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 30 บาท คาดกำไร Q3/61 โต 30% Q-Q และ 10% Y-Y อยู่ที่ 2,651 ลบ. จากโรคระบาดที่ลากยาว และการควบคุมต้นทุนที่ดี ส่วนการเติบโตระยะยาวจะได้แรงหนุนจากสาขาที่กระจายทั่วประเทศ และ Center of Excellent ที่จะช่วยยกระดับอัตรากำไร โดยคาดกำไรปกติปี 2561-2563 โตเฉลี่ย 16% ต่อปี ด้านราคาหุ้น laggard กลุ่มอยู่ 4% และ SET50 อยู่ 5% ความเสี่ยงขาลงจึงจำกัด
 
- BTS (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 10.5 บาท รับข่าวดี กทม.เตรียมเสนอครม.ต่ออายุสัมปทานให้ BTS อีก 10 ปี จากเดิมที่สัญญาจะหมดอายุในปี 2572 การันตีรายได้และผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
 
- IRPC (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 7.50 บาท ประมาณการกำไรสุทธิ IRPC ใน Q3/61 อยู่ที่ 2,869 ล้านบาท -12% YoY และ -29% QoQ จาก (1) ประเมินปริมาณการกลั่นลดลงจากการปิดซ่อมบำรุง (2) Market GRMปรับตัวดีขึ้นจาก Crude Premium ที่ลดลง (3) กลุ่มโอเลฟินส์คาดว่าจะอ่อนตัวตามราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัว (4) กำไรจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 1,423 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันยังให้ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 4%
 
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ เหตุตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งหนักหลังบอนด์ยีลด์พุ่ง
 
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ที่ดิ่งลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.ปีนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นหลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ก็ทรุดตัวลงจากแรงฉุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,043.37 จุด ลดลง 462.67 จุด, -1.97% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,643.07 จุด ลดลง 82.77 จุด, -3.04% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,392.90 จุด ลดลง 800.17 จุด, -3.05% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,272.04 จุด ลดลง 194.79 จุด, -1.86% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,176.16 จุด ลดลง 52.45 จุด, -2.35% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,074.77 จุด ลดลง 56.71 จุด, -1.81% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,699.76 จุด ลดลง 35.42 จุด, -2.04% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,934.76 จุด ลดลง 66.38 จุด, -0.95%
 
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงอย่างหนักหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น ภายหลังจากทางการสรหัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยเมื่อเวลา 20.04 น.ตามเวลาไทยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.241% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.401%
 
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ พุ่งขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
 
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ จึงทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 91.85 จุด หลังตลาดหุ้นสหรัฐ-ยุโรปดิ่งหนัก
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (10 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นข้อตกลงว่าด้วยการที่สหราชอาณาจักรแยกตัวจาก EU (Brexit)
 
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,145.74 จุด ลดลง 91.85 จุด หรือ -1.27%
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงกว่า 800 จุดเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยเมื่อเวลา 20.04 น.ตามเวลาไทยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.241% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.401%
 
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศยุโรปปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งรวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.98%
 
หุ้นมอนดิ ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์ ร่วงลง 8.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นเบอร์เบอร์รี่ ผู้จำหน่ายสินค้าหรู ร่วงลงกว่า 8%
 
ส่วนคิงฟิสเชอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านของอังกฤษ ดีดตัวขึ้น 3.6% ขณะที่หุ้นบีที กรุ๊ป และหุ้นยูไนเต็ด ยูทิลิตี้ส์ พุ่งขึ้น 3.6% และ 3.4% ตามลำดับ
 
นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจา Brexit โดยนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลง Brexit กับอังกฤษ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับชายแดนของประเทศไอร์แลนด์
 
นอกจากนี้ นายบาร์นิเยร์ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้อังกฤษและ EU สามารถเห็นพ้องกันในเนื้อหาราว 80-85% ในข้อตกลง Brexit
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกบอนด์ยีลด์พุ่ง,หวั่นสงครามการค้าฉุดศก.โลก
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (10 ต.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและยุโรป รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจฉุดเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยหุ้นกลุ่มสินค้าหรูร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นหลุยส์ วิตตอง
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.6% ปิดที่ 366.93 จุด
 
 
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,712.50 จุด ลดลง 264.72 จุด หรือ -2.21% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,206.22 จุด ลดลง 112.33 จุด หรือ -2.11% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,145.74 จุด ลดลง 91.85 จุด หรือ -1.27%
 
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยเมื่อเวลา 20.04 น.ตามเวลาไทยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.241% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.401%
 
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ จึงทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
 
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศยุโรปปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งรวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.98%
 
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยหุ้นหลุยส์ วิตตอง ดิ่งลงกว่า 7% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.138 หมื่นล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.156 หมื่นล้านยูโร ขณะที่หุ้นเบอร์เบอร์รี่ ร่วงลงกว่า 8% และหุ้นเคอริ่ง ร่วงลง 9.6%
 
ส่วนหุ้นบริษัทอื่นๆที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ รวมถึงหุ้นอาดิดาส ร่วงลง 4.5% และหุ้น SAP ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ ดิ่งลง 4.9%
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 831.83 จุด หลังบอนด์ยีลด์พุ่ง, วิตกเฟดเร่งขึ้นดบ.หลังเงินเฟ้อดีดแรง
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (10 ต.ค.) โดยทั้งดาวโจนส์ และ S&P500 ต่างก็ดิ่งลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.ปีนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นหลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลงกว่า 300 จุด จากแรงฉุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,598.74 จุด ดิ่งลง 831.83 จุด หรือ -3.15% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,785.68 จุด ลดลง 94.66 จุด หรือ -3.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,422.05 จุด ร่วงลง 315.97 จุด หรือ -4.08%
 
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงอย่างหนักหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น ภายหลังจากทางการสรหัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยเมื่อเวลา 20.04 น.ตามเวลาไทยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.241% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.401%
 
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (PPI) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ พุ่งขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
 
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ จึงทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
 
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยได้ฉุดหุ้นกลุ่มต่างๆร่วงลงเป็นวงกว้าง โดยหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคร่วงลง ซึ่งรวมถึงหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ดิ่งลง 2.5% หุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ลดลง 0.9% หุ้นเป๊ปซี่โค ลดลง 0.7% หุ้นโคคา-โคลา ร่วงลง 1.6% หุ้นจอห์สัน แอนด์ จอห์นสัน ลดลง 1.1% และหุ้นไนกี้ ดิ่งลง 6.8%
 
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 4.6% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 3.8% หุ้น 3M ร่วงลง 3.9% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 3.4% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ดิ่งลง 3.5% หุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 3.8% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก ดิ่งลง 2%
 
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.3% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.3% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 5.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 5.6% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 3.5%
 
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งฉุดดัชนี Nasdaq ปิดตลาดดิ่งลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. 2559 โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 4.1% หุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 4.6% หุ้นอเมซอน ดิ่งลง 6.1% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ร่วงลง 4.6% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 8.3% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 5.4% หุ้น Nvidia ร่วงลง 7.4% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ลดลง 1.5% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ร่วงลง 3.9% หุ้นอินเทล ดิ่งลง 3.7% และหุ้น IBM ร่วงลง 3.1%
 
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารปิดตลาดร่วงลงเช่นกัน หลังจากที่ดีดตัวขึ้นขานรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในช่วงแรก โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 2.4% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดิ่งลง 3.6% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 3.3% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 2% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ร่วงลง 2.6% และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 2.7%
 
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐ (CPI) เดือนก.ย.ของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI เดือนก.ย.จะเพิ่มขึ้น 0.2% โดยหากตัวเลข CPI ดีดตัวขึ้นมากกว่าระดับ 0.2% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นปัจจัยหนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
--อินโฟเควสท์
OO14902

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!