หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
asiaplus securtities
บล. เอเซียพลัส: บทวิเคราะห์ภาวะแทรกซ้อนรายวัน
 
วันที่ 1 ก.ย. 62 ชาวอเมริกันและจีนจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันในรอบที่ 4 แต่ก็เป็นความผิดพลาด ประมาทกลยุทธ์เน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูงเป็นตัวเลือกหลักเลือก PTT ( FV @ B 53 ) และ MCS ( This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ) และวันนี้เพิ่ม TPIPP ( FV @ B 6.8 ) ราคาหุ้น Laggard คาดหวังว่าการจ่ายปันพลรอบนี้ถึง 0.2 บาทต่อ ุ้นและมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยสูงราว 8% ต่อปี
 
1 ก.ย. 62 !! สหรัฐอเมริกา - ประเทศจีน 
 
รายละเอียดโลกให้น้ำหนักไปที่ช่วงสุดสัปดาห์นี้คือวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2562 จำนวนเงินที่ได้รับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารอบที่ 4 ตามลำดับที่ 2 ประกาศรับทราบก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลสหรัฐมอบอัตราภาษี 15% จำนวนสินค้าที่จะถูกเก็บไว้ 1.1 ล้านล้าน สินค้าเกษตรโบราณวัตถุและวัตถุโบราณขณะที่จีนกำลังขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 5-10% ยังมีรายละเอียดชัดเจน (แต่คาดราว ๆ 3 หมื่นล้านเหรียญฯ ) ขึ้นภาษีนำเข้า 5 % กับไขมันถั่วเหลืองและขึ้นอัตรา 10% กับเนื้อหมู, เนื้อวัว, ผ้าฝ้ายแปลก (รายละเอียดดังตาราง)
 
สรุป…ทยอยปรับตัวในแดนบวก
 
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตลอดวัน จากปัจจัยสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ตลาดฯคาดซึบซับปัจจัยลบไปมากแล้ว จึงทำให้ปิดตัวในแดนบวกที่ระดับ 1639.14 จุด เพิ่มขึ้น 22.21 จุด (+1.37%) มูลค่าการซื้อขาย 5.96 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มพลังงานเช่น PTT(+5.49%) PTTEP(+4.31%) TOP(+9.24%) IRPC(+9.60%) กลุ่มธ.พ.เช่น KBANK(+1.61%) SCB(+1.24%) BBL(+0.90%) และกลุ่มปิโตรเคมีอย่างเช่น IVL(+7.87%) PTTGC(+3.90%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น HMPRO(+2.89%) และ SCC(+1.49%) เป็นต้น
 
แม้ SET Index วานนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงมากสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ แต่ในช่วงวันหยุดปลายสัปดาห์ ยังมีประเด็นความเสี่ยงรออยู่ คือ สหรัฐฯและจีนจะเริ่มการเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าระหว่างกันเป็นรอบที่ 4 ขณะที่ Fund Flow ยังไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังรอความชัดเจนจากประเด็นดังกล่าว สำหรับกลยุทธ์วันนี้ ฝ่ายวิจัยยังให้ความสำคัญ และเน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก เชื่อว่าน่าจะ Outperform ตลาดได้ยามที่ปัจจัยแวดล้อมยังมีความไม่แน่นอนสูง เลือก PTT, MCS และเพิ่ม TPIPP เป็น Top pick ในวันนี้ พร้อมกับปรับเพิ่มเข้าพอร์ตการลงทุน ด้วยน้ำหนัก 10% และขออนุญาติขายทำกำไร DRT ได้ผลตอบแทน2.48% (อยู่ในพอร์ตราว 1 สัปดาห์ครึ่ง) โดยจุดเด่นน่าลงทุนของ TPIPP คือ มี Upside สูงสุดในกลุ่มหุ้นพลังงานทดแทนทั้งหมดที่ฝ่ายวิจัยศึกษา พร้อมทั้งคาดหวังปันผลได้สูงลำดับต้นของหุ้นทั้งตลาดฯ สูงถึง 7.6% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีลุ้นรับเงินปันผลระหว่างกาลรอบนี้สูงถึง 0.2 บาทต่อหุ้น (เดิม 0.1บาทต่อหุ้น) เนื่องจากมีโอกาสสูงที่ทางบริษัทจะปรับเปลี่ยนนโยบายการจ่ายปันผลจากไตรมาสละครั้งเป็นปีละ 2 ครั้ง
 
1 ก.ย.62!!  สหรัฐ-จีนครบกำหนดขึ้นภาษีนำเข้ารอบที่ 4 
 
ตลาดหุ้นโลกให้น้ำหนัก  ไปที่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ คือ วันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2562  เป็นวันครบกำหนดขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารอบที่ 4 ตามที่ทั้ง 2 ประเทศเคยประกาศไว้ก่อนหน้า คือ ฝั่งสหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนอัตรา 15% วงเงินสินค้าที่จะถูกเก็บราว 1.1 แสนล้านเหรียญฯ  อาทิ สินค้าเกษตร, เครื่องครัว เสื้อผ้า, วัตถุโบราณ    ขณะที่ฝั่งจีนจะขึ้นภาษีนำเข้ากับสหรัฐอัตรา 5-10% วงเงินยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน (แต่คาดราวๆ 3 หมื่นล้านเหรียญฯ) อาทิ ขึ้นภาษีนำเข้า 5% กับ น้ำมันดิบ ถั่วเหลือง และ ขึ้นอัตรา 10% กับ เนื้อหมู, เนื้อวัว,ผ้าฝ้าย เป็นต้น (รายละเอียดดังตาราง)
 
สงครามการค้าสหรัฐกับจีน
 
ที่มา : ASPS
 
อย่างไรก็ตาม  ASPS เชื่อว่าประเด็นการขึ้นภาษีวันที่ 1 ก.ย.2562  น่าจะเป็นประเด็นที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว  โดยให้น้ำหนักไปที่สัปดาห์หน้า มีโอกาสที่จะมีการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนระดับคณะผู้แทน  เนื่องจากวานนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ และ โฆษกต่างประเทศของจีน เผยต่อสื่อและมีมุมมองเหมือนกัน คือ ทั้ง 2 ฝั่งต้องการเจรจาการค้าเพื่อหาข้อ  ทำให้ตลาดหุ้นโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวต่อ และเชื่อว่าประเด็นสำคัญที่ตลาดน่าจะให้น้ำหนัก 6 ก.ย. สหรัฐรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) เดือน ส.ค. ตลาดคาด 1.55 แสนราย ชะลอจาก 1.64 แสนราย และ อัตราการว่างงานในเดือนเดียวกันตลาดคาดยังทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่  3.7%
 
โดยรวมความกังวลจากปัจจัยภายนอกดังกล่าว ทำให้นักลงทุนยังคงย้ายเงินลงทุนเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย กดดันผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลงต่อเนื่อง  และภาวะ Inverted Yield Curve 10–2 ปี (IYC) ล่าสุด เกิดติดต่อกันข้ามวัน 4 วัน คือ อัตราผลตอบพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ Bond Yield อายุ 2 ปีล่าสุดอยู่ที่ 1.53% สูงกว่า อายุ 10 ปี อยู่ที่  1.50% ทำให้ตีความได้ว่าตลาดเชื่อมั่น การประชุม Fed วันที่  17-18 ก.ย.2562  จะลดดอกเบี้ยราว  0.25% จากดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 2.25%  
 
ประชุม ครม.เศรษฐกิจวันนี้เลื่อนออกไป แต่เชื่อว่ารัฐเดินหน้าต่อ
 
รองนายกสมคิดเผยว่าวันนี้ 30 ส.ค. ได้เลื่อนการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ที่จะออกมาตรการกระตุ้นเฟส 2   คือ มุ่งไปที่มาตรการดึงดูดการลงทุนเอกชน และต่างชาติ ที่จะเตรียมย้ายฐานการผลิตเพื่อหนีสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ปะทุขึ้นอีกครั่งและมีแนวโน้มยืดเยื้อจนถึงปีหน้า   อาทิ มาตรการ BOI ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการเพื่อให้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้  
 
อย่างไรก็ตาม ASPS เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวชัดเจนจากภาคส่งออก ทำให้ตัวขับเคลื่อนหลักจะมาจากการลงทุนเอกชน        ทำให้เชื่อว่ารัฐบาลไทยจะต้องออกมาตรการทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม คือ เชื่อว่าจะมุ่งดึดดูดไปที่ พื้นที่ EEC 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา  สอดคล้องกับ ล่าสุด เห็นการย้ายฐานการผลิตของของต่างชาติที่เข้ามาไทยเพิ่มเติม (รายละเอียดในรูป)  ดีต่อหุ้นกลุ่มนิคม  AMATA(FV@B35.7
 
บริษัทต่างชาติที่เตรียมย้ายฐานการผลิตมาไทย
 
ที่มา :  สภาพัฒน์ฯ , ASPS รวบรวม
 
ตัดสินวันนี้!! กรณีพิพาทโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ลักซูรี่ ของ CPN
 
วันนี้ศาลปกครองจะพิจารณาตัดสินข้อพิพาทระหว่าง CPN กับ AOT ในประเด็นที่ AOT นำเต็นท์ไปตั้งขวางทางเข้าออกโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ลักซูรี่ (ภายใต้การลงทุนของ CPN) ซึ่งกระทบต่อการดำเนินงานก่อสร้าง ผู้รับเหมา ร้านค้า ในการเข้าไปโครงการเพื่อตกแต่งและเตรียมความพร้อมในช่วงสุดท้าย ก่อนที่จะเปิดบริการตามกำหนดวันที่ 31 ส.ค. นี้
 
หากผลตัดสินออกมา ให้ทอท. มีการรื้อถอน ถือเป็นผลดีต่อ CPN แต่ในทางกลับกัน หากผลของศาลฯ เป็นในทางตรงข้าม อาจสร้าง Sentiment เชิงลบต่อ CPN เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในการเข้าออกโครงการทั้งสำหรับการตกแต่งร้านค้า และผู้ที่ต้องการเข้ามาใช้บริการโครงการดังกล่าว
 
หากประเมินผลกระทบกรณีเลวร้ายสุด คือไม่สามารถเปิดโครงการได้ทันปีนี้ คาดจะทำให้รายได้ CPN ปีนี้หายไป 160-170 ล้านบาท (ประมาณการรวมโครงการดังกล่าว 3 เดือนในช่วง 4Q62) และเต็มปีประมาณ 700 ล้านบาท เทียบกับฐานรายได้ดำเนินการรวมปีละ 3.5-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มีนัยฯ  เบื้องต้นนักเคราะห์ ASPS จึงยังคงคาดการณ์กำไรปกติปี 2562 เท่ากับ 1.15 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% yoy และ Fair Value อยู่ที่ 92.00 บาท และคงคำแนะนำซื้อ
 
หุ้นเด่นประจำวัน ปันผลสวย PTT, MCS และ TPIPP
 
วานนี้ตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานฟื้นตัวแรงเป็นหลัก (ราคาหุ้น Laggard ราคาน้ำมันดิบโลกอยู่มาก) หนุนให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 22.21 จุด หรือ 1.37% (มากสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้) แต่ความกังวลประเด็นสงครามการค้าจีนสหรัฐ และ Brexit ยังมี สะท้อนจากการเกิด Inverted Yield Curve ในพันฐบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี กับ 10 ปี ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง สร้างความอ่อนไหวต่อทิศทางตลาดหุ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก เชื่อว่าจะเป็นเกราะป้องกันที่ดียามที่ปัจจัยแวดล้อมมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการคัดกรองหุ้นปันผลเด่นน่าสะสมลงทุนมีทั้งหมด 11 บริษัทดังนี้
 
11 หุ้นปันผลเด่น
 
จากหุ้นปันผลสูงในตาราง ฝ่ายวิจัยคัดเลือก PTT, MCS และวันนี้เพิ่มหุ้น TPIPP  เป็น Top pick เนื่องจาก มีจุดเด่นที่ Upside สูงสุดในกลุ่มหุ้นพลังงานทดแทนทั้งหมดที่ฝ่ายวิจัยศึกษา พร้อมทั้งคาดหวังปันผลได้สูงลำดับต้นของหุ้นทั้งตลาดฯ เกือบ 8% p.a.อีกทั้งราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนปัจจุบันมี PER’62 เพียง 10 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯที่ 23 เท่า ค่อนข้างมาก โดยยังมี upside ให้ลงทุนกว่า 26% ทั้งนี้ TPIPP จะมีการประชุมคณะกรรมการฯวันนี้ (30 ส.ค.) ซึ่งคาดว่าอาจมีการประกาศจ่ายปันผล 1H62 ได้ไม่ต่ำกว่า 0.2 บาท/หุ้น
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …ทยอยปรับตัวในแดนบวก
 
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวขึ้นตลอดวัน จากปัจจัยสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ตลาดฯคาดซึบซับปัจจัยลบไปมากแล้ว จึงทำให้ปิดตัวในแดนบวกที่ระดับ 1639.14 จุด เพิ่มขึ้น 22.21 จุด (+1.37%) มูลค่าการซื้อขาย 5.96 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มพลังงานเช่น PTT(+5.49%) PTTEP(+4.31%) TOP(+9.24%) IRPC(+9.60%) กลุ่มธ.พ.เช่น KBANK(+1.61%) SCB(+1.24%) BBL(+0.90%) และกลุ่มปิโตรเคมีอย่างเช่น IVL(+7.87%) PTTGC(+3.90%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น HMPRO(+2.89%) และ SCC(+1.49%) เป็นต้น
 
แม้ SET Index วานนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงมากสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ แต่ในช่วงวันหยุดปลายสัปดาห์ ยังมีประเด็นความเสี่ยงรออยู่ คือ สหรัฐฯและจีนจะเริ่มการเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าระหว่างกันเป็นรอบที่ 4 ขณะที่ Fund Flow ยังไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังรอความชัดเจนจากประเด็นดังกล่าว สำหรับกลยุทธ์วันนี้ ฝ่ายวิจัยยังให้ความสำคัญ และเน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูงเป็นหลัก เชื่อว่าน่าจะ Outperform ตลาดได้ยามที่ปัจจัยแวดล้อมยังมีความไม่แน่นอนสูง เลือก PTT, MCS และเพิ่ม TPIPP เป็น Top pick ในวันนี้ พร้อมกับปรับเพิ่มเข้าพอร์ตการลงทุน ด้วยน้ำหนัก 10% และขออนุญาติขายทำกำไร DRT ได้ผลตอบแทน2.48% (อยู่ในพอร์ตราว 1 สัปดาห์ครึ่ง) โดยจุดเด่นน่าลงทุนของ TPIPP คือ มี Upside สูงสุดในกลุ่มหุ้นพลังงานทดแทนทั้งหมดที่ฝ่ายวิจัยศึกษา พร้อมทั้งคาดหวังปันผลได้สูงลำดับต้นของหุ้นทั้งตลาดฯ สูงถึง 7.6% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีลุ้นรับเงินปันผลระหว่างกาลรอบนี้สูงถึง 0.2 บาทต่อหุ้น (เดิม 0.1บาทต่อหุ้น) เนื่องจากมีโอกาสสูงที่ทางบริษัทจะปรับเปลี่ยนนโยบายการจ่ายปันผลจากไตรมาสละครั้งเป็นปีละ 2 ครั้ง

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!