หมวดหมู่: บทความการเงิน

1APECไทย


PwC เผยความเชื่อมั่นซีอีโอเอเปกต่อรายได้พุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี ชี้ไทยติดโผตลาดน่าลงทุน

   PwC เผยผลสำรวจซีอีโอเอเปกพบ 37% เชื่อมั่นว่าการเติบโตของรายได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีนับจากปี 2557 พร้อมเล็งขยายการลงทุนในตลาดโลกมากขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยไทยติด 1 ใน 5 ตลาดที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ชี้ซีอีโอส่วนใหญ่กังวลปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงาน สินค้า และบริการ หลังกฎระเบียบข้อจำกัดเข้มงวดขึ้น ด้านซีอีโออาเซียนตื่นตัวปฏิวัติองค์กรสู่ตลาดแรงงานแบบดิจิทัลมากขึ้น

PwCศระ    นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ APEC CEO Survey 2017 ที่ใช้เผยแพร่ในการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC CEO Summit ประจำปี 2560 ณ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก จำนวนกว่า 1,400 รายใน 21 ประเทศว่า ในปีนี้มีซีอีโอเอเปก 37% ที่แสดงความเชื่อมั่นมากว่า ธุรกิจและรายได้ของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโตขึ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2557 และเพิ่มขึ้นจาก 28% ในปีที่ผ่านมา แม้มีปัจจัยความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าและความตึงเครียดทางการเมืองของประเทศสมาชิกเอเปกหลายราย

    นอกจากนี้ 50% ของผู้บริหารเอเปกยังมีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในตลาดโลก (รวมทั้งประเทศที่อยู่นอกภูมิภาคเอเปก) มากขึ้น เปรียบเทียบกับ 43% ในปี 2559 โดยพบว่า 71% ของซีอีโอที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในปีนี้ จะมุ่งขยายตลาดไปในภูมิภาคเอเปกด้วยกัน ขณะที่ 63% คาดว่า จะขยายการลงทุนไปสู่ตลาดโลกมากขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

    สำหรับ ประเทศที่ถูกจับตาให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนภายในประเทศ (Domestic investment) มากที่สุดในปีนี้ ได้แก่ เวียดนาม รัสเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ในทางกลับกัน ประเทศที่ถูกจัดให้เป็นเป้าหมายของการลงทุนจากต่างประเทศ (Overseas investment) มากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา และ ไทย ตามลำดับ นอกจากนี้ อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ซีอีโอมาเลเซียและซีอีโอเวียดนามที่ถูกสำรวจมากถึง 89% และ 86% ยังคาดที่จะขยายธุรกิจของตนสู่ตลาดโลกอีกด้วย

    นาย ศิระ กล่าวว่า “สาเหตุที่ผู้บริหารเอเปกในปีนี้จัดอันดับให้ไทยติดอันดับประเทศเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับเม็ดเงินจากการลงทุนของต่างประเทศมากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของไทยในการออกมาตรการและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ดึงดูดความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายที่ล้าหลัง เพื่อสร้างความน่าดึงดูดในการลงทุนให้กับประเทศ นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของภาครัฐภายใต้โรดแมป ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งพัฒนาประเทศไปสู่การเพิ่มคุณค่าให้กับแรงงานและระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มากขึ้น ยังช่วยเชื่อมต่อไทยกับประชาคมโลก ซึ่งทั้งหมดทำให้ไทยมีความน่าสนใจและกลายเป็นเป้าหมายของการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติมากขึ้น”

    “อีกแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทย คือ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การฟื้นตัวของตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภคของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนของความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น”

     ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย หรือ จีดีพี  ในช่วงไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.7% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกขยายตัว 3.5%

     นอกจากนี้ ในรายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2018 ของธนาคารโลกที่ผ่านมา ยังจัดให้ไทยมีอันดับดีขึ้น โดยไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ง่ายต่อการเข้าไปทำธุรกิจอยู่ในอันดับที่ 26 จากอันดับที่ 46 ในปีก่อน  จากจำนวนทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นประเทศอันดับที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน รองจาก สิงคโปร์ และ มาเลเซีย

 

ห่วงข้อจำกัดทางการค้า-เคลื่อนย้ายแรงงานเข้มกระทบธุรกิจ

        ด้านนาย บ็อบ มอริตซ์ ประธาน บริษัท PwC โกลบอล กล่าวว่า “ความเชื่อมั่นของผู้บริหารเอเปกในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้นั่งรอคอยให้หมอกของความไม่ชัดเจนหมดไปก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใดๆ ฉะนั้น ความเชื่อมั่นดังกล่าว น่าจะช่วยผลักดันให้เอเปกสามารถเพิ่มบทบาทในเวทีโลก และสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมการควบรวมต่างๆ เพิ่มขึ้น เห็นได้จาก 71% ของซีอีโอที่ถูกสำรวจ คาดหวังที่จะหาโอกาสในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ หรือกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้นในอนาคต”

      “อย่างไรก็ดี ซีอีโอเอเปกมีความกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อจำกัดทางการค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้า ถือได้ว่าเป็นประเด็นสำคัญของการหารือกันในการประชุมเอเปกครั้งนี้ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแข่งขันและการเติบโตขององค์กร โดย 30% ของผู้บริหารที่ถูกสำรวจต้องการให้เอเปกเป็นเวทีในการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกให้กับทิศทางของการเคลื่อนย้ายแรงงานในอนาคต”

     ในส่วนของการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจมากขึ้น ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่า แม้เอเปกมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่พัฒนาการดังกล่าว ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดย 31% ของซีอีโอในสหรัฐฯ กล่าวว่า ความคืบหน้าของการค้าเสรีในเอเชียแปซิฟิกได้หยุดชะงักหรือแม้กระทั่งถอยหลัง เทียบกับ 18% ของทั่วทั้งภูมิภาค

     ผลสำรวจยังระบุว่า เกือบ 1 ใน 4 ของซีอีโอเอเปกได้เผชิญกับสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจ้างแรงงานต่างชาติ (23%) หรือการเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามแดน (19%) อย่างที่กล่าวไป

     ขณะที่ 30% ของซีอีโอคาดว่า ข้อจำกัดด้านแรงงานจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น และ 1 ใน 4 คาดว่า อุปสรรคในการเคลื่อนย้ายสินค้าจะยิ่งเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดย 50% ของซีอีโอในสิงคโปร์ ประเทศที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ยังยอมรับด้วยว่า น่าจะเห็นอุปสรรคของการเคลื่อนย้ายแรงงานเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า

      ด้วยเหตุนี้ ซีอีโอส่วนใหญ่ หรือ 71% จึงมองหาการขยายการเติบโตผ่านการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ หรือกิจการร่วมค้ามากขึ้นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขณะที่ 68% มีแผนในการขยายธุรกิจภายในประเทศ หรือกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี

    นอกจากนี้ ซีอีโอเอเปกยังระบุว่า การแข่งขันจากประเทศชั้นนำในกลุ่มเศรษฐกิจเอเปก และกลุ่มประเทศเติบโตสูงได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน โดยระดับความรุนแรงของการแข่งขันของประเทศเหล่านี้ เมื่อรวมกันยังแซงหน้าการแข่งขันจากบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ขณะที่ 19% ของผู้บริหารเชื่อว่า คู่แข่งรายสำคัญที่สุดในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้าคือ บริษัทข้ามชาติจากกลุ่มประเทศเติบโตสูง หรือ ผู้เล่นรายใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเปกที่ 22% โดยมีซีอีโอ 32% ที่ยังเชื่อว่า บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้วคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ลดลงจาก 41% ในปี 2557

เล็งปฏิวัติองค์กรสู่กำลังแรงงานแบบดิจิทัล

     นาย ศิระ กล่าวต่อว่า ความเชื่อมั่นของซีอีโอเอเปกที่เพิ่มขึ้นยังมีส่วนกระตุ้นให้ความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่จะถูกนำมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซีอีโอในกลุ่มอาเซียนที่มองว่า ระบบอัตโนมัติ (Automation) จะเป็นตัวแปรสำคัญของการขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กรไปสู่การพัฒนากำลังแรงงานในรูปแบบดิจิทัล โดย 58% ของซีอีโออาเซียนระบุว่า ได้ทำการเปลี่ยนถ่ายระบบงานบางอย่างผ่านการใช้ระบบอัตโนมัติแล้ว ขณะที่ 40% กำลังลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning) และอีก 41% ระบุว่า พนักงานมีทักษะในการใช้เครื่องมือระบบอัตโนมัติใหม่ๆ

      อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ซีอีโอเอเปกยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นด้วย คือ ความสามารถในการสรรหาทักษะที่ต้องการเพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลก

    นาย บ็อบ กล่าวสรุปว่า “เศรษฐกิจเอเปกมีศักยภาพในการเป็นแหล่งทดสอบที่สำคัญของการพัฒนากำลังแรงงานด้านดิจิทัลในอนาคต โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่ตระหนักดีว่า ทักษะใดที่พวกเขาต้องการ ขณะที่ภาครัฐและเอกชนเองก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแนวทางในการฝึกอบรม พัฒนา และเข้าถึงทักษะแรงงานเหล่านั้น”

 

ข้อความถึงบรรณาธิการ:

1.    คลิก www.pwc.com/apec เพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม

2.    PwC ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรทางความรู้ (Knowledge partner) ให้กับการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ณ เมือง ดานัง ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา

3.    PwC ทำการสำรวจผู้บริหารในกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปกจำนวนทั้งสิ้น 1,412 รายระหว่างเดือน พฤษภาคม ถึง กรกฎาคมปีนี้ โดยผู้ถูกสำรวจเป็นตัวแทนจากภาคธุรกิจที่มีการลงทุนใน 6 ประเทศเศรษฐกิจในเอเปกนอกเหนือไปจากประเทศเศรษฐกิจของตนเอง โดยมากกว่าครึ่งขององค์กรที่ถูกสำรวจ มีรายได้ต่อปีมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เกี่ยวกับ PwC

         ที่ PwC เป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า  เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 158 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 236,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบบริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี  สำหรับประเทศไทย บริษัทถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 59 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่างๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรกว่า 1,800 คนในประเทศไทย

          PwC refers to the PwC network and/or one or more of its member firms, each of which is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.

© 2017 PwC. All rights reserved

  ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 2/2560 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

  Doing Business 2018 – Reforming to Create Jobs, A World Bank Group Flagship Report

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!