หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

TRIS7 1


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม 'บ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น' ที่ 'A-/Stable'

       ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 'A-' โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทยและผลงานที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานในงานก่อสร้างสำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทมีความยืดหยุ่นต่อการชะลอตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจากการมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและปริมาณงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและค่อนข้างหลากหลายด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากความเป็นไปได้ที่ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นจากโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นและการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทด้วยเช่นกัน

      บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ก่อตั้งในปี 2505 โดยกลุ่มตระกูลชาญวีรกูลและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2535 บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียงซึ่งให้บริการงานด้านวิศวกรรมและก่อสร้างแก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

     ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทมาจากงานภาครัฐและอีกครึ่งหนึ่งมาจากงานภาคเอกชน หากแบ่งตามประเภทของโครงการแล้ว บริษัทมีรายได้จากงานก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานคิดเป็นสัดส่วนราวเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้รวม ตามด้วยงานก่อสร้างด้านพลังงาน (24%) งานก่อสร้างอาคาร (24%) และงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม (5%) อย่างไรก็ตาม สัดส่วนโครงสร้างรายได้ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา

      อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทอันเนื่องมาจากความเชี่ยวชาญในการรับงานวิศวกรรมและก่อสร้างได้หลากหลายประเภท รวมถึงการมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งด้วย บริษัทเป็นหนึ่งในสี่ของผู้รับเหมารายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในด้านของรายได้ บริษัทได้รับใบอนุญาตประเภทผู้รับเหมาชั้นหนึ่งจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาเพียงไม่กี่รายที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการได้รับสิทธิเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ผลงานที่ได้รับการยอมรับทำให้บริษัทมีความสามารถมากเพียงพอที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

      บริษัทเพิ่งชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ 3 โครงการซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ให้เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยบริษัทชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองภายใต้รูปแบบการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Public-private Partnership -- PPP) ซึ่งมีมูลค่าสัญญารวมทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาทโดยผ่านกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ประกอบไปด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTS) (ถือหุ้น 75%) บริษัท (15%) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (RATCH) (10%) โดยบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบงานก่อสร้างโครงการทั้งสองซึ่งมีมูลค่างานก่อสร้างประมาณ 40,000 ล้านบาท

     นอกจากนี้ บริษัทในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมทุนของกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์จำเป็นจะต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่พอสมควรประมาณ 4,300 ล้านบาทสำหรับโครงการทั้งสอง อย่างไรก็ตาม กำไรที่ได้จากงานก่อสร้างโครงการทั้งสองจะเป็นแหล่งเงินหลักสำหรับส่วนทุนที่บริษัทจะต้องใช้ลงทุนในกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ดังนั้น ระดับการก่อหนี้ของบริษัทจึงไม่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

      นอกจากนี้ บริษัทยังชนะการประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มอีกจำนวน 3 สัญญาซึ่งมีมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาทภายใต้ชื่อกิจการร่วมค้าซีเคเอสทีอีกด้วย ทั้งนี้ กิจการร่วมค้าซีเคเอสทีมี บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 60% และอีก 40% บริษัทเป็นผู้ถือ แม้โครงการขนส่งมวลชนทั้ง 3 สายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในอนาคต แต่การรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่พร้อมกันก็จะเป็นปัจจัยที่ท้าทายของบริษัทด้วยเช่นกัน บริษัทได้เริ่มกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจการผลิตไฟฟ้าเพื่อป้องกันการลดลงของรายได้ในช่วงการชะลอตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

     โดยในเดือนสิงหาคม 2559 บริษัทได้ซื้อหุ้นจำนวน 2.78% ใน บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (ABCE) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศไทยโดยใช้เงินทั้งสิ้น 500 ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายน 2559 บริษัทได้ซื้อหุ้นจำนวน 10% ของ บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการพลังงานทดแทนต่าง ๆ โดยมูลค่าการซื้อหุ้นอยู่ที่ 880 ล้านบาท ต่อมาในช่วงปลายปี 2560 บริษัทได้ใช้เงิน 1,800 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นจำนวน 1.88% ของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำในประเทศไทย ทั้งนี้ การลงทุนอย่างต่อเนื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากบริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจผลิตไฟฟ้าในอนาคต อย่างไรก็ตาม ขนาดของการลงทุนไม่น่าที่จะกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

      ทริสเรทติ้ง คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 30,000 ล้านบาทภายในปี 2563 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ได้ส่งมอบขนาดใหญ่และกระจายตัวค่อนข้างดีจำนวนประมาณ 93,000 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2560 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ มูลค่างานในมือดังกล่าวจะประกันรายได้ให้แก่บริษัทตามประมาณการรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าถึงเกือบ 80%

      อันดับเครดิตยังสะท้อนความยืดหยุ่นของบริษัทต่อการชะลอตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอีกด้วย โดยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาจากความสามารถในการทำกำไรที่เข้มแข็งของบริษัท แม้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะลดลงเป็นประมาณ 8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จากระดับสูงสุดที่ 9.7% ในปี 2558 แต่ระดับความสามารถในการทำกำไรดังกล่าวก็ยังถือว่าสูงสำหรับผู้รับเหมาที่รับงานโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยในอนาคตเนื่องจากสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการภาครัฐจะเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะยังอยู่เหนือระดับ 7.5% ซึ่งจะทำให้เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วง 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปี

      ความยืดหยุ่นของบริษัทยังเกิดจากการก่อหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำและการมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งอีกด้วย โดย ณ เดือนกันยายน 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่เพียง 6.9% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมาก ในขณะที่เงินส่วนทุนที่บริษัทจะต้องใช้ลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองบางส่วนจะมาจากกำไรที่ได้จากงานก่อสร้างโครงการทั้งสอง ทำให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทในอนาคตจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

       สภาพคล่องของบริษัทมีความแข็งแกร่ง โดยบริษัทถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องจำนวนมากเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดอยู่ที่ประมาณ 5,600 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2560 นอกจากนี้ บริษัทยังมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินมูลค่ารวมกันประมาณ 4,100 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งสินทรัพย์สภาพคล่องจำนวนมากในปัจจุบันช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงิน ทั้งนี้ สภาพคล่องที่เข้มแข็งดังกล่าวมาจากการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท โดยเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากเงินรับล่วงหน้าตามสัญญาก่อสร้างจากเจ้าของโครงการและเครดิตการค้าจากผู้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์รวมถึงผู้รับเหมาช่วง ซึ่งการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพดังกล่าวทำให้ความต้องการเงินทุนภายนอกอยู่ในระดับต่ำ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า กระแสเงินสดของบริษัทเมื่อเทียบกับภาระหนี้น่าจะถดถอยลงจากระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานะสภาพคล่องของบริษัทคาดว่าน่าจะยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน

       ความผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูงยังคงเป็นปัจจัยลดทอนอันดับเครดิตของบริษัท โดยปัจจัยทั้งสองกระทบต่อความมั่นคงของรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทน่าจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

 

แนวโน้มอันดับเครดิต

      แนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่'สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและคงความสามารถในการประมูลงานและดำเนินโครงการให้สำเร็จเอาไว้ได้ นอกจากนี้ บริษัทน่าจะยังคงสามารถรักษาระดับการทำกำไรและสภาพคล่องเอาไว้ได้ในช่วงที่มีงานก่อสร้างขนาดใหญ่ และโครงสร้างเงินทุนก็คาดว่าจะยังคงเข้มแข็งแม้จะมีแนวโน้มที่ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

      อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากความล่าช้าของโครงการและต้นทุนโครงการที่สูงเกินประมาณการ

 

บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (STEC)

อันดับเครดิตองค์กร               A-

แนวโน้มอันดับเครดิต:           Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com

     ติดต่อ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

     บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

    ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!