หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
Asia Plus Group Holding
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
กลยุทธ์การลงทุน
ประเด็นหลักที่เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เป็นเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของรัฐบาล ซึ่งจะให้น้ำหนักไปที่การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ โดยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในกลุ่ม นิคมฯ และ Logistic หุ้น Top Picks เช้านี้จึงเลือก AMATA (FV@B 35.70), JWD (FV@B 12.30) และ SPALI (FV@B 23.20) ส่วนการเคลื่อนไหวของ SET Index คาดว่าจะยังผันผวนอยู่ภายใต้แนวต้านบริเวณ 1680-1685 จุด
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …แกว่งผันผวนตลอดวัน
วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเปิดกระโดดกว่า 8 จุดก่อนที่จะแกว่งผันผวนตลอดวัน จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1670.06 จุด เพิ่มขึ้น 0.27 จุด (+0.02%) มูลค่าการซื้อขาย 4.67 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มค้าปลีกเช่น CPALL(+0.90%) DOHOME(+4.17%) HMPRO(+2.21%) กลุ่มวัสดุก่อสร้างเช่น SCC(+1.46%) DCC(+1.00%) แต่โดนกดดันจากกลุ่มสื่อสารอย่างเช่น ADVANC(-0.84%) INTUCH(-0.37%)  DTAC(-1.59%) และกลุ่มขนส่งอย่างเช่น AOT(-0.34%) และ BEM(-0.88%) เป็นต้น
 
สถานการณ์แวดล้อมต่างประเทศเช้านี้ยังไม่มีประเด็นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาดหุ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นพัฒนาการของเรื่องเดิมๆ เช่นผลกระทบที่เห็นเป็นรูปธรรมของสงครามการค้าโดยล่าสุด จีนรายงานยอดส่งออกเดือน ส.ค.ที่หดตัวลงชัดเจน ตามด้วยท่าทีของ Fed ที่ทำให้ถูกคาดหมายว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. 2562 ที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับประเด็นในประเทศโดยภาพรวมก็ยังไม่มีเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET Index จึงคาดว่าจะยังเคลื่อนไหวผันผวนอยู่ภายใต้แนวต้านบริเวณ 1680 – 1685 จุด อย่างไรก็ตามก็มีประเด็นที่สามารถนำมากำหนดกลยุทธ์การลงทุน ได้แก่เรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ล่าสุดได้มุ่งเน้นไปในเรื่องของการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน โดยการเพิ่มแรงจูงใจทางด้านภาษี การอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุน รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเห็นการรุกมากขึ้นของภาครัฐเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนของกิจการข้ามชาติเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า สภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อหุ้นในกลุ่ม นิคมอุตสาหกรรม และ โลจิสติก สำหรับตัวเลือกการลงทุนในกลุ่มนิคมฯ มี 2 บริษัท ที่ฝ่ายวิจัยคัดเลือกเข้าไว้ในพอร์ตการลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ได้แก่ AMATA และ FPT ส่วนกลุ่ม Logistic เลือกหุ้น JWD ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องการเติบโตของผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์สูง สำหรับพอร์ตการลงทุนในวันนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
 
ส่งออกจีน และยอดการจ้างงานสหรัฐ เดือน ส.ค.ชะลอ หนุนธนาคารกลางกระตุ้น..
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ เห็นได้จาก ฝั่งจีนคือ เมื่อวานนี้รายงานยอดการส่งออก ในเดือน ส.ค. พลิกกลับมาหดตัว 1%yoy (ตลาดคาดขยายตัว 2%) หลังจากที่เดือน  ก.ค. ขยายตัว 3.3% และหากพิจารณายอดส่งออกของจีนไปสหรัฐ เดือน ส.ค. หดตัวแรงราว 16% เทียบกับที่หดตัว 6.5% เดือน ก.ค.  ทำให้ทางการจีนได้ออกมาตรการทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  คือ วันศุกร์ที่ผ่านมาธนาคารกลางจีน (PBOC) ปรับลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement Ratio: RRR) เป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้  คือ ปรับลง 0.5% เหลือ 13% จะมีผลวันที่ 16 ก.ย. 2562 เป็นต้นไป จะทำให้ธนาคาพาณิชย์จีนลดการสำรองเงินสดลง และสามารถให้สินเชื่อได้มากขึ้น และมีแนวโน้มที่ PBOC อาจจะปรับ RRR เพิ่มอีกในอนาคต คาดว่าจะปรับลดอีกในวันที่ 15 ต.ค. และ 15 พ.ย.
 
เช่นเดียวกับฝั่งสหรัฐ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจด้านแรงงานส่งสัญญาณชะลอตัว คือยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน ส.ค. พบว่าเพิ่มขึ้น 1.3 แสนราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ราว 1.5  แสนราย และชะลอตัวลงจากเดือน ก.ค. ที่ 1.59 แสนราย ประกอบกับคำกล่าวสุนทรพจน์ของนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่แสดงความกังวลว่า สงครามการค้าอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจตัดสินใจชะลอการลงทุน ทำให้ตลาดยิ่งมั่นใจ 100% ว่า ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้ง ราว 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.  โดยรวมเป็นปัจจัยเสริมให้ Dollar Index อ่อนค่า โดยล่าสุดอ่อนค่า 0.02% หรืออ่อนค่าเกือบ 1% นับตั้งแต่จุดสูงสุดเมื่อต้นเดือน ก.ย. หนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิเช่น ทองคำเพิ่มขึ้น 0.27% และน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.01%    
 
ครม. เศรษฐกิจ ออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนเอกชน ดีต่อ JWD, AMATA
สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ ทำให้นักลงทุนต่างชาติหนีผลกระทบและเตรียมย้ายฐานการผลิตมาประเทศในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  และเศรษฐกิจไทยในช่วง 2H62 ต้องพึ่งตัวขับเคลื่อนจากในประเทศ คือ การลงทุนภาคเอกชน ทำให้เห็นรัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ดังที่เห็นในวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ได้ข้อสรุปออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน รายละเอียดใกล้เคียงกับที่เคยนำเสนอหลักๆ คือ
 
BOI กำหนดให้สำหรับโครงการลงทุนวงเงินอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่ทั่วประเทศ โดยต้องต้องยื่นขอ BOI ภายในปี 63 ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติที่ยกเว้น 8 ปี   (จะได้เทียบเท่ากับสิทธิประโยชน์ตาม พรบ. EEC ที่ให้เฉพาะโครงการลงทุนใน 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา  ดังตารางด้านล่าง)
มาตรการส่งเสริมการลงทุนเอกชนของรัฐบาลชุดที่แล้วที่ยังมีผลถึงปัจจุบัน
 
 
ให้สิทธินำค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่าย Advanced Technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 200% ระหว่างปี 2562-2563
 
ให้สิทธินำเงินค่าจ้างบุคลากรทักษะสูงในสาขาวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมมาหักค่าใช้จ่ายได้ระหว่างปี 2562-2563
โดยรวมมาตรการที่ออกมาจะส่งต่อให้ ครม.พิจารณาอนุมัติวันอังคารนี้ 10 ก.ย.2562   ซึ่งเมื่อรวมกับมาตรการจากรัฐบาลชุดก่อนหน้าที่มีผลบังคับใช้แล้ว อาทิ เพิ่มระยะเวลาการเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในเขต EEC (ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี และระยอง) เพิ่มขึ้นเป็นสูงสุด 99 ปี จากเดิม 50 ปี ,การให้สิทธิเลือกอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาระหว่างขั้นบันไดปกติ หรืออัตราคงที่ 17% ของรายได้พึงประเมินสำหรับบุคคลากรที่เข้ามาทำงานใน EEC และอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย    เชื่อว่าจะมีส่วนกระตุ้นการลงทุนเอกชนในอนาคตและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทางตรงได้ โดยเฉพาะเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มนิคม และกลุ่มขนส่ง-โลจิสติกส์ เช่น AMATA(FV@B 35.70) , FPT (FV@B 20.10) และ JWD(FV@B 12.30
 
Fund flow ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน SET Index
ประเด็นความตึงเครียดที่ฮ่องกงผ่อนคลายลง หนุนให้ Fund Flow เริ่มไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนได้จากวันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นในภูมิภาค 237 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ซึ่งซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 303 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และเกาหลีใต้ 9 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ส่วนหุ้นในกลุ่ม TIP ยังคงขายสุทธิทั้งหมด เริ่มจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียขายสุทธิ 25 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) ฟิลิปปินส์ 0.56 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 49 ล้านเหรียญ หรือ 1.5 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) สวนทางกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 835 ล้านบาท
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
 
วันศุกร์ที่ผ่านมาต่างชาติขายตราสารหนี้ไทยกว่า 5.3 พันล้านบาท จึงทำให้ตั้งแต่ต้นเดือนมียอดขายสุทธิสะสมกว่า 1.15 หมื่นล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับ Bond Yield 10 ปีของไทยตั้งแต่ต้นเดือนที่ปรับตัวขึ้นกว่า 8 bps.จนล่าสุด 1.54%
 
ทิศทาง Bond Yield 10 ปีของไทยตั้งแต่ต้นเดือน
หากพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมที่ผ่อนคลายทั้งเรื่องการประท้วงในฮ่องกงที่ผ่อนคลายลง และความคาดหวังมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ยังคงเป็นประเด็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยเห็นได้จากการซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures อีกกว่า 4 พันสัญญาในวันศุกร์ที่ผ่านมา และซื้อสุทธิต่อเนื่องมา 8 วัน มูลค่ารวม 7.1 หมื่นสัญญา ดังนั้นหาก Fund Flow ไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วงผลักดันให้ตลาดปรับตัวขึ้นต่อได้ (ค่า Correlation ของ Fund flow กับ SET Index อยู่ที่ 0.7 ถือว่ามีความสัมพันธ์กันสูง ) โดยสรุปคือ ต้องติดตามความต่อเนื่องของ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทยอย่างใกล้ชิด โดยน่าจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในช่วงนี้แต่คาดว่า Downside ของ Fund flow เริ่มจำกัดจากการซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
 
M ขยายอาณาจักรซื้อแหลมเจริญ หนุน Synergy ในอนาคต
M แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าลงทุนใน บจก. แหลมเจริญ ซีฟู้ด ในสัดส่วน 65% ของทุนจดทะเบียน คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 2,060 ล้านบาท คาดดำเนินการแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 62 โดยแบรนด์แหลมเจริญ ซีฟู้ด เริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2522 มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านอาหารทะเลมานานเกือบ 40 ปี ปัจจุบันมีสาขาอยู่ประมาณ 26 สาขา ทั้งใน จ. กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
 
ฝ่ายวิจัยคาดผลการดำเนินงานของ “ร้านอาหาร แหลมเจริญ ซีฟู้ด” น่าจะมีกำไร เบื้องต้นหากอิง PER 20 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 5 ปีย้อนหลัง) – 25 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลังของ M นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ) เมื่อเทียบมูลค่ากิจการทั้งหมดประมาณ 3,100 ล้านบาท (เทียบเท่า M ถือ 100%)  คาดการณ์กำไรของร้านอาหารที่ถูกเข้าซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 124 - 155 ล้านบาท คิดตามสัดส่วนการเข้าถือหุ้นของ M ในสัดส่วน 65% จะคิดเป็นกำไรส่วนของ M ราว 81 - 101 ล้านบาท หรือ 2% - 3% ของประมาณการกำไรปี 2563 (หากการซื้อขายอยู่ในระดับ PER ที่ต่ำกว่า / สูงกว่า นี้กำไรจะมากกว่า/ต่ำกว่า ประมาณการข้างต้น ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากบริษัทฯ) ทั้งนี้ปัจจุบันหุ้นในกลุ่มร้านอาหารอย่าง AU มี Forward PER ที่ 46 เท่าและ ZEN ที่ 30 เท่า (อิงกำไร Bloomberg Consensus)
 
แม้ยังดูไม่มีนัยต่อกำไรของ M ในปี 2563 ที่คาดไว้ 2,994 ล้านบาท แต่คาดอนาคตความสามารถในการทำกำไรของผู้ถูกซื้อจะดีขึ้น นอกจากการทำตลาดร่วมกัน ยังได้ประโยชน์จากต้นทุน Logistic ที่จะลดลง ภายใต้เครือข่ายบริษัท Logistic ของ M อย่าง M Senko (M ถือหุ้นสัดส่วน 49.75%) ที่ขนส่งวัตถุดิบให้กับ M ครอบคลุมกว่า 682 สาขาทั่วประเทศ
 
FV ที่ 84 บาท (DCF – WACC 9%) มี Upside 14% พร้อมคาด Div yield 3.7% ด้านราคาหุ้นนับตั้งแต่ประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 21 ส.ค. 62 ปรับตัวลดลงราว 6% (SET INDEX ช่วงเวลาเดียวกันปรับตัวขึ้น 2%) เชื่อว่าตอบรับแนวโน้มผลประกอบการช่วง 3Q62 ไปแล้ว
 
กลยุทธ์... เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการลงทุนภาคเอกชนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC จะเป็นแรงหนุนต่อ SET Index แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศ อาจจะสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้น จึงประเมินกรอบ SET Index รายสัปดาห์ไว้ที่ 1660 -1685 จุด โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ตาม Top pick วันนี้ คือ  AMATA (FV@B 35.70),  JWD (FV@B 12.30) และ SPALI(FV@B 23.20)
 
AMATA (FV@B 35.70) ขับเคลื่อนด้วยมาตรการภาครัฐและการย้ายฐานการผลิตมาไทย โดยคาดกำไรงวด 3Q62 เติบโตสวนทางกลุ่มนิคมฯ ที่หดตัว หลักๆ มาจากการขายโอนที่ดินแปลงใหญ่ที่ขายให้กับบริษัท General Rubber (ธุรกิจผลิตยางรถยนต์จากจีน) ตามด้วยการทยอยส่งมอบพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปเพื่อสร้างรายได้จากค่าเช่า 2 หมื่น ต.ร.ม. รวมไปถึงธุรกิจโรงไฟฟ้า 10 แห่งกลับมาสร้างรายได้พร้อมกัน โดยรวมคาดกำไรปี 2562 เติบโต 71.7% อยู่ที่ 1.75 พันล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในปี 2563 ขณะที่ราคาหุ้นมี Upside สูงกว่า 33.5% ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุน
 
JWD (FV@B 12.30) แนวโน้มกำไร 2H62 จะตื่นเต้นยิ่งขึ้น โดยธุรกิจบริหารและบริการคลังสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ JWD จะได้รับผลประโยชน์จากการขยายตัวของ EEC ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์จะเข้าช่วงฤดูกาล High Season และผลของ Synergy บริษัทร่วมทุนจะทำให้ JWD สามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนเต็มปี ช่วยผลักดันรายได้ปี 2562 เติบโต 31% YoY เท่ากับ 4.1 พันล้านบาท และ Gross Margin จะประคองตัวระดับเดียวในปีก่อนที่ 26.5% โดยรวมแล้วจะทำให้ปี 2562 JWD มีกำไรเติบโตก้าวกระโดด 37% YoY มาที่ 345 ล้านบาทมูลค่าพื้นฐาน 12.3 บาท ราคาหุ้นมี Upside เปิดกว้างกว่า 30% ถือเป็นโอกาสเข้าลงทุนและ SPALI(FV@B 23.20) คาดธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว โดยแนวโน้ม 2H62 คาดยอดโอนฯ และกำไรสูงกว่า 1H62 แรงหนุนจากการเปิดตัวโครงการใหม่เชิงรุก 21 โครงการ (เน้นแนวราบ) และการส่งมอบคอนโดฯ ต่อเนื่องจาก 1H62 รวมถึงคอนโดฯ ใหม่ขนาดใหญ่ Supalai Veranda Rama 9 มูลค่า 4.3 พันล้านบาท (ขายแล้ว 99%)  ขณะที่ราคาหุ้นปรับฐานลงมา จนทำให้อัตราเงินปันผลอยู่ในระดับสูงถึง 5.5% อีกทั้งยังมีจุดเด่นเรื่อง Backlog (ไม่รวม JV) สูงสุดในกลุ่มฯ ระดับ 4.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรองรับการเติบโตรายได้ใน 4-5 ปีข้างหน้า จึงเป็นโอกาสทยอยลงทุน
 
 
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
 
 
 

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!